อยากให้เป็นเช่นวันวาน
      ตอนที่ 1

   คู่หมั้น

อยากให้เป็น เช่นวันวาน
ตอนที่ 1  คู่หมั้น


      วันเวลาผ่านไป นี่เรา 65 ปีเข้าไปแล้วหรือนี่
ฉันค่อย ๆ บรรจงหยิบรููปที่พ่อยื่นให้เมื่อฉันเรียนอยู่ชั้น ป.4
โรงเรียนบ้านในเวียง (พะเยาประชานุกูล) ปัจจุบันคือ โรงเรียนเทศบาล 1
(ในรูปถ่าย ฉันอายุได้ 1 ขวบ) 
ฉันเก็บรูปนี้ไว้ด้วยความทะนุถนอมรูปเลือนรางเต็มทีด้วยภาพขาวดำ
หม่นหมองด้วยความเก่าแก่   พ่อบอกว่ารูปนี้เป็นรูปที่ท่านข้าหลวงชลอ
(ปัจจุบันเรียกข้าหลวงว่าผู้ว่าราชการจังหวัด)
เป็นคนถ่ายรูปนี้ในจวนข้าหลวง
(ปัจจุบันเรียกบ้านพักผู้ว่าราชการจังหวัด)  เมื่อฉันอายุได้ขวบกว่า ๆ 
ความทรงจำของฉันในช่วง ป.4 นั้น ดูจะไม่ปะติดปะต่อกันนัก
ดูเหมือนพ่อจะบอกว่า ท่านข้าหลวงไม่มีลูกสาว
จึงให้คุณนายของท่านมา อุ้มฉันจากบ้านพักอักษรเลข
(ตำแหน่งพ่อขณะนั้น)
ไปเลี้ยงดูที่บ้านทุกวัน ทั้งยังตั้งชื่อให้ เสร็จสรรพว่า
เด็กหญิงดวงพร
แล้วพ่อยังบอกอีกว่าเด็กชายที่นั่งข้าง ๆ ฉันชื่อคุณเต่า
ท่านข้าหลวงขอหมั้นไว้แล้ว มีสร้อยคอเงินด้วย
พ่อพูดพร้อมกับหัวเราะขำ ๆ   อืม...นี่ฉันมีคู่หมั้นแล้วหรือนี่
มีคู่หมั้นตั้งแต่ 1 ขวบ เท่ซะไม่มี และฉันก็รอคุณเต่า
ซึ่งจำหน้าไม่ได้แล้วและคุณเต่าก็คงเช่นกัน พอจบ ป.2
พ่อก็ได้ย้ายไปพะเยา  ฉันรอลมรอแล้ง (น่าสงสาร)
จนกระทั่งอายุ 29 ปี คุณอ๊อด??? (อาจารย์มณฑล ยอดปัญญา )
ก็มาแทนที่จนถึงปัจจุบัน


          

อยากให้เป็นเช่นวันวาน
ตอนที่ 2

  ชูกลิ่น  อุนวิจิตร

 




          พ่อพาฉันไปเข้าเรียนชั้นอนุบาลโรงเรียนเชียงรายวิทยาคม
ครูใหญ่ชื่อครูทองดี  ดวงเนตร  พอขึ้น ป.1 น้องชายฉัน ไพรัช ไชยมงคล 
ก็เข้าเกณฑ์เรียนพอดี  ไพรัชได้เรียน ป.1
โรงเรียนดรุณศึกษา  สองคนพี่น้องเรียนระดับเดียวกัน
แต่ฉันจะเก่งภาษาอังกฤษ (สมัยนั้น)
เพราะที่โรงเรียนเชียงรายวิทยาคมจะสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นอนุบาล



 

 
พอขึ้น ป.2  ฉันเริ่มจำเพื่อน ๆ ได้ ในจำนวนนั้น ชื่อชูกลิ่น
อุนวิจิตร (จู) ฉันจะเรียกชูกลิ่นตลอด ชูกลิ่นจะตัวเล็ก ๆ น่ารัก
ไม่ค่อยชอบพูด ฉันชอบแบ่งขนมให้ทาน
ส่วนชูกลิ่นก็จะให้ฉันลอกการบ้าน  เราจะเล่นไต่ไม้ท่อนเดียว
มีเสา 3 เสา สูงจากพื้นประมาณ  2 ฟุต เราแข่งกัน สนุกสนาน 
บางทีก็เล่นกระโดดเชือก ครูประจำชั้นของเราชื่อ คุณครูพิสมัย 
เพื่อนที่เรียนและเล่นด้วยกันก็ เมธินี) คือ เมธินี  ภูรีโรจน์
และเมธินี เพชรสุวรรณ ฉันจำเพื่อน ๆ เหล่านี้ได้ดี
แต่ฉันเชื่อว่า พวกเขาคงจำฉันไม่ได้แล้ว เพราะว่า พอขึ้น ป.3
พ่อก็ย้ายไปอำเภอพะเยา ฉันก็ได้เรียน ป. 3 ที่โรงเรียนบ้านในเวียง
ปัจจุบันคือ โรงเรียนเทศบาล 1 (พะเยาประชานุกูล)   
สำหรับสายสัมพันธ์ของฉันในวัยเด็ก   ป.2 
ที่มีต่อชูกลิ่นยังมีอยู่ในใจเสมอ

          
เมื่อฉันสอบเข้าวิทยาลัยครูได้สำรองที่ 15
แต่มีคนสละสิทธิ์เพียง 10 คน ฉันไปเรียน
โรงเรียนบูรณศักดิ์วิทยา  ต่อมาฉันรักโรงเรียนนี้มาก
ฉันเข้าเรียนสายวิทยาศาสตร์ 
อาจารย์ที่มาสอนก็เป็นอาจารย์ฝีมือดีจากโรงเรียนมงฟอร์ต  
โรงเรียนปริ๊นส์   วิทยาลัยเทคนิค  (อาจารย์เตียง    อาจารย์วิทยา   
อาจารย์เทพ ฯลฯ) ทำให้ฉันสอบ ม.ศ. 4 ได้ 71.00 เปอร์เซ็นต์ 



จากนั้นก็มาสอบเข้าวิทยาลัยครูเชียงใหม่อีกครั้ง
วันที่เข้ามาอยู่หอ 2   วิทยาลัยครูเชียงใหม่ 
ฉันจัดของเข้าที่เสร็จเรียบร้อย
ก็มีรุ่นพี่เดินเข้ามาที่ตู้เสื้อผ้าอยู่ใกล้ ๆตู้ฉัน
ความเป็นรุ่นพี่แกก็ทักรุ่นน้องก่อน ฉันก็หันหน้ามาตอบ
เอ๊ะ !! นี่หน้าเหมือนชูกลิ่น
ก็บังเอิญมีรุ่นพี่อีกคนเรียกชูกลิ่นว่า
 จู  ใช่เลย ฉันรีบถามว่า ชูกลิ่นใช่ไหม 
จากนั้นความหลังครั้งวัยเรียนพรั่งพรูออกจากปาก
สอบถามสารทุกข์สุขดิบมากมาย ส่วนใหญ่ฉันจะถามมากกว่า
พอเรียนจบวิทยาลัยครูเชียงใหม่  ชูกลิ่น (รุ่นพี่) จบก่อน
แล้วเราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย
ส่วนฉันภูมิใจในความทรงจำที่แสนงามสมัยเด็กของฉันได้เสมอ


อยากให้เป็นเช่นวันวาน
ตอนที่ 3
ก้นฉันกับแชร์ปากกา


        ฉันเรียนจบ ป.กศ.สูง ปี 2513 ตอนนั้นวิทยาลัยครูเชียงใหม่มีถึง
ป.กศ.สูง  เพื่อนหลายคนเขาไปต่อปริญญาตรี
ที่สถาบันอื่นกันแต่ฉันไม่   จ้างให้ก็ไม่เรียนเชอะ  (คะแนนไม่ถึงง่ะ)
สอบบรรจุได้ต้องไปรายงานตัวที่สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย
และเลือกบรรจุที่โรงเรียนเชียงคำวิทยาคม อำเภอเชียงคำ
จังหวัดเชียงราย
(ต่อมา ปี  2520 เป็นอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา)  
เพราะพ่อรับราชการที่เชียงคำ
อีกอย่างแม่ก็เสียชีวิตด้วยมะเร็งปากมดลูก
ฉันจึงต้องอยู่ดูแลพ่อ สอนได้เทอมเดียวพ่อก็ได้ย้ายไปอยู่พะเยา
ฉันสอนวิชาภาษาไทยชั้น ม.ศ.1 และ ม.ศ.2
พอถึงวันศุกร์ คอจะเจ็บ  เสียงจะแห้ง วันจันทร์จะหาย
เป็นแบบนี้อยู่นาน


รุ่นที่ฉันสอนสมัยนั้น เป็นครู  เป็นหมอ  เป็นพ่อค้า 
เป็นนักการเมืองก็มีเช่น  ลดาวัลย์  (สมฤทธิ์) วงศ์ศรีวงศ์
กู้เกียรติ ชูศักดิ์สกุลวิบูล
และฉันยังได้สอนน้องชายคนสุดท้องของฉันด้วย
อายุเราห่างกัน 7  ปี  ตอนบรรจุใหม่ น้องชายฉัน
เรียนชั้น ม.ศ.2  ฉันได้สอนภาษาไทยห้องนี้ด้วย
เขาแยกห้องชายล้วน  หญิงล้วน และหญิงชายรวมกัน
ห้องชายล้วนการเรียนปานกลางถึงอ่อน
นักเรียนอายุอ่อนกว่าฉัน 3  ปีก็มี
นักเรียนที่ฉันสอนจะไม่คุยกันตั้งใจเรียนดีมาก
อาจจะเป็นเพราะฉันดุ หรือสวยก็ไม่รู้นะ 

     
            ผ่านมาจนถึงปลายเทอม 2  ของการบรรจุใหม่ 
ทุกอย่าง ดูจะดำเนินไปด้วยดี ฉันก็ไม่รู้ว่านักเรียน ม.ศ. 2
ห้องชายล้วน ห้องน้องชายฉันน่ะแหละ  เขาคิดอะไรกันอยู่
มีอยู่วันหนึ่งพอฉันให้นักเรียน
แบบฝึกหัด ความคิดที่ว่าครูไม่ควรยืนหรือนั่งที่โต๊ะครูอย่างเดียว
คิดแล้วเดินไปข้างหลังห้อง ดูนักเรียนทำแบบฝึกหัด
(สมัยนี้เรียกว่าครูเอาใจใส่เด็กอย่างใกล้ชิดอ่ะ) พอเดินกลับมาหน้าห้อง
ก็มีนักเรียนคนหนึ่งเรียก ครู  ครูครับ ฉันหันไปดู
แกก็เอามีชี้ที่สะโพกฉันโอ๋ย โดนเข้าแล้ว ก้นฉ้าน 
เมล็ดอะไรไม่รู้ถูกปาเข้าที่สะโพกตอนเดินออกมาจากหลังห้อง โมโหสุดขีด
ถามใครทำ ไม่ตอบใครเห็นใครทำ  ไม่ตอบ  ไม่สอน  วิ่งไปฟ้องครูใหญ่   
อาจารย์เอิ้อ  มณีรัตน์ ๆ  ให้อาจารย์ว่าที่ ร.ต. ชูชาติ  สงวนงาม
เป็นคนมาสอบสวนก็ให้นักเรียนห้องชายล้วนออกมาเข้าแถวหน้าห้อง
ครูใหญ่ให้หมด แล้วค้นตัวทุกคน  ค้นกระเป๋ากางเกง  กระเป๋าเสื้อ
แล้วเขย่ากางเกง กันทุกคน เผื่อเจ้าเมล็ดนั่นหล่น 
ค้นทุกคนมาถึงน้องชายฉัน ค้นไปค้นมา 
อะไรหล่น ทุกคนก็จ้องมอง มันเป็นกระดาษ  พับเล็ก ๆ
คลี่ออกมาดูขนาดเท่าฝ่ามือ 
(ไม่ใช่ ห่อหญ้านั่น)  แต่เป็นโพยแชร์ปากกา  เขียนว่า
อนุญาตให้เล่นแชร์ปากกาได้
เบอร์ละ 1 บาท  ลงชื่อ เอื้อ มณีรัตน์ ปลอมลายเซ็น
แล้วตามด้วยชื่อคนซื้อแชร์
คนซื้อส่วนใหญ่เป็นนักเรียนหญิง (อยากได้ปากกาลูกลื่นใหม่)
ดังนั้น ทุกคนที่มีชื่ออยู่ในโพย ถูกเรียกมาเข้าแถว
แล้วครูฝ่ายปกครองยืนเรียงกัน 6 คน
ตีคนละ  1  ขวับ  ครู  6  คน  นักเรียนหญิงคนละ  6  ควับ
กลิ้งตกท้องร่องน่าสงสารมาก
ในชีวิตคงไม่อยากเล่นแชร์อีกต่อไป)   
1 ในบรรดาโดนเฆี่ยนจะมีนางสาวลดาวัลย์  สมฤทธิ์ หรือเปล่าก็ไม่รู้
สำหรับนายอิทธิพล  ไชยมงคล ภายหลังฉันเปลี่ยนชื่อให้ใหม่ เป็น
นายนาวิน  ไชยมงคล ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้น ถูกย้ายไปอยู่โรงเรียนอื่น
ห้ามเรียนเชียงคำวิทยาคม ก็เลยได้ย้ายไปเรียนโรงเรียนพะเยาพิทยาคม
อำเภอพะเยา  จังหวัดเชียงราย  ส่วนก้นฉันนะหรือ ทุกคนลืมลืมไปหมดแล้ว
และอย่างสิ้นเชิง  ส่วนฉันยังไม่ลืมมันฝังแน่นอยู่ในใจฉันตลอดเวลา
โอ้.... ก้นฉันกับแชร์ปากกา


 
ตอนที่ 4 คลิกเลยค่ะ